โรคหัวใจขาดเลือดหรือที่รู้จักกันในชื่อโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
Monday, December 23rd, 2024เป็นหนึ่งในโรคที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั่วโลกอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การขาดการออกกำลังกาย และความเครียดในชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ โรคหัวใจขาดเลือดเกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงเลือดที่อุดมไปด้วยออกซิเจนและสารอาหารไปยังกล้ามเนื้อหัวใจเกิดการอุดตันหรือตีบแคบลง สาเหตุหลักมาจากการสะสมของคราบไขมันและสารอักเสบที่เรียกว่า “พลัค” (plaque) บริเวณผนังหลอดเลือด
เมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันจนเลือด
ไม่สามารถไหลผ่านได้เพียงพอ หัวใจจะขาดออกซิเจน ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก (Angina) และหากการไหลเวียนเลือดถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ อาจนำไปสู่อาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต อาการของโรคหัวใจขาดเลือดสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ บางคนอาจมีอาการเจ็บหน้าอกที่รู้สึกเหมือนถูกบีบหรือถูกกดทับ โดยเฉพาะเวลาออกแรงหรืออยู่ในสถานการณ์ที่หัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น อาการเจ็บอาจร้าวไปยังแขนซ้าย คอ กราม หรือหลัง บางรายอาจมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก หรือรู้สึกแน่นในอกโดยไม่มีอาการเจ็บเด่นชัด
อาการของโรคอาจไม่ชัดเจนในผู้หญิงและผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้การวินิจฉัยโรคนี้เป็นไปได้ยากหากไม่ได้รับการตรวจที่ละเอียดอ่อน การป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารทอด น้ำมันปาล์ม และขนมหวาน พร้อมทั้งเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ห้าครั้งต่อสัปดาห์ เลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
แอลกอฮอล์สามารถทำลายหลอดเลือด
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การจัดการกับความเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะความเครียดเรื้อรังอาจทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไปและเพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงหรืออาการที่สงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจขาดเลือด การเข้ารับการตรวจสุขภาพหัวใจเป็นสิ่งที่ควรทำโดยเร็ว การตรวจวินิจฉัยอาจรวมถึงการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (Stress Test) การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน (Echocardiogram) และการตรวจหลอดเลือดหัวใจ
ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Coronary Angiography) การรักษาโรคหัวใจขาดเลือดอาจรวมถึงการใช้ยาเพื่อลดไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และควบคุมความดันโลหิต หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลหรือกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาเชิงรุกรวมถึงการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ (Angioplasty) การใส่ขดลวด (Stent) หรือการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Surgery) โรคหัวใจขาดเลือดเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้สมดุลในทุกด้าน การตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคและการดูแลหัวใจตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้เรามีสุขภาพดีและยืนยาวขึ้นในวันข้างหน้า หากคุณหรือคนใกล้ชิดสงสัยว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด